ทำไมไม่มีเก็บเงินปลายทาง
** ก่อนอ่านต่ออยากให้เข้าใจในส่วนนี้ก่อน**
การเก็บเงินปลายทางสิ่งที่ผู้ขายไม่ได้บอกผู้ซื้อ คือ
- ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น 3-5% ในส่วนนี้ร้านจะต้องเป็นคนออก บางร้านถึงบวกเพิ่ม บางร้านไม่ได้บวก แต่ก็ต้องลดกำไรของตัวเองออกไป
- ระยะเวลาในการรับเงิน ถ้าคุณเป็นคนขาย ขายของก็อยากได้รับเงินเลย แต่ถ้าเก็บเงินปลายทางกว่าจะได้รับเงินจะค่อนข้างใช้เวลานาน ยกตัวอย่างเช่น
** คุณสั่งของวันที่ 1 / ร้านส่งของวันที่ 2-3 (ขึ้นอยู่กับช่วงของการสั่ง) / ระยะเวลาในการส่งขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ 1-3 วัน คือเวลาทั่วไป ถ้าอยู่ไกล หรือ พื้นที่พิเศษ ก็อาจใช้เวลา 3-5 วัน / หลังจากลูกค้าจ่ายเงินปลายทางแล้ว จะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3 วันทำการ กว่าเงินจะเข้าระบบและเบิกเงินออกมาได้
จากตัวอย่างที่ยกขึ้นมาทำให้เกิดช่วงเวลาที่ร้านไม่สามารถนำเงินมาหมุนได้ วึ่งส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ เพราะทุกวันที่ผ่านไปมันมีค่าใช้จ่ายเสมอ ไม่ว่าจะเป็นทุนค่าสินค้าที่ลงไป ค่าจ้างต่างๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆ
- ค่าใช้จ่ายในกรณีที่ “ไม่รับสินค้า” ถือเป็นปัญหาหลัก และปัญหาใหญ่ของการเก็บเงินปลายทางเลยก็ว่าได้ สิ่งที่ร้านจะต้องรับผิดชอบในการณีที่ผู้ซื้อไม่รับสินค้า หรือ ไม่จ่ายปลายทางมีอะไรบ้าง
1. ไม่ได้รับเงินค่าสินค้า แน่นอนอยู่แล้วว่า ถ้าไม่จ่ายเงิน ผู้ขายก็ไม่สามารถรับเงินได้
2. ค่าส่งที่ผู้ขายต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่แค่ค่าส่งไปหาลูกค้าที่ผู้ขายต้องจ่ายไปก่อน ค่ากล่อง ค่าเทป และยังมีกรณีที่ของตีกลับ แล้วผู้ขายต้องจ่ายค่าส่งตีกลับนั้นให้กับขนส่งอีกด้วย
3. ค่าเสียหายกรณีสินค้าเสียหาย เป็นที่รู้กันอยู่แล้วเรื่องของการขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นขนส่งไหน ย่อมมีเหตุให้สินค้าที่อยู่ภายในเสียหายได้เช่นกัน โดยเฉพาะการที่ส่งไป-ส่งกลับ ความเสียหายย่อมมีโอกาสที่จะเจอได้เป็นเรื่องปกติ และเมื่อเกิดความเสียหาย เท่ากับว่าสินค้านั้นไม่สามารถขายได้ หรืออย่างดีก็เอามาขายในราคาของมีตำหนิ นั่นหมายถึงร้านขาดทุนไปแล้ว ทำเต็มที่ได้แค่เอาทุนคืน (ถ้าไม่เอาของมาหลอกขายต่อนะ)
4. ค่าเสียโอกาส การที่เกิดการตีกลับของสินค้า ระยะเวลาต่างๆก็มากขึ้น นับแค่ส่งปกติถ้าไม่มีผู้รับ ขนส่งก็จะนำส่งวันถัดไป และอาจนำส่งใหม่อีก 2-3 ครั้ง เมื่อไม่มีผู้รับก็จะตีกลับ ซึ่งอย่างน้อยๆเวลาที่เสียไประหว่างนั้นอาจใช้เวลา 7-14 วัน ทำให้ร้านเสียโอกาสหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นค่าสินค้าที่ควรจะได้ หรือ สินค้านั้นสามารถขายคนที่ต้องการซื้อจริงๆ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นก็เป็นเหตุผลที่ร้านส่วนใหญ่ รวมถึงร้าน PPTOY ด้วยเช่นกันที่ “ ไม่มีบริการเก็บเงินปลายทาง ” แต่ เมื่อลูกค้าไม่มั่นใจที่จะสั่งสินค้ากับร้านที่ไม่มีเก็บเงินปลายทาง ร้านจึงต้องหาวิธีที่จะพอเป็นไปได้ให้เกิดความสบายใจขึ้นสักนิดกับทั้งสองฝ่ายนั่นก็คือ “เงินมัดจำ”
เงินมัดจำ หรือ การจ่ายเงินก่อนส่วนหนึ่ง เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ขายเกิดความมั่นใจขึ้นมานิดนึงว่าผู้ซื้อจะรับสินค้าแน่ๆ เพราะเสียเงินมัดจำมาแล้วแต่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ซื้อ “ไม่กล้า” จะต้องเสียเงินมาก่อน ถึงแม้จะน้อยกว่าราคาที่ต้องจ่าย แต่ก็ไม่กล้าจ่ายก่อนอยู่ดี เพราะหลายครั้งและบ่อยครั้ง “การโกง” ก็เกิดจากเงินมัดจำนี่แหละ ได้มาแล้วก็ปิดร้านหนี หรือบล็อกลูกค้าไปเลยก็มี
แต่ก็จะมีบางคนซึ่งมักจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่อยากได้ของนั้นจริงๆ ยอมเสียเงินมัดจำก่อนและจ่ายที่เหลือปลายทาง ลูกค้ากลุ่มนี้อาจจะคิดว่า “เสียน้อยดีกว่าเสียเยอะ” ก็เป็นได้ ซึ่งก็เป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับร้านเช่นกันว่าอย่างน้อยจ่ายมาแล้วก็คงจะรับของจริงๆ แต่ก็มีบางส่วนที่แม้จะมัดจำมาก่อนแต่พอเวลาที่ของถึง ก็ไม่รับสินค้าเช่นกัน
แล้วเงินมัดจำมันต้องเท่าไหร่ แต่ละร้านอาจมีค่ามัดจำที่ต่างกันไป ส่วนของที่ร้านจะอยู่ที่ 200-500 ขึ้นอยู่กับสินค้า บางคนคิดว่า ร้านได้ค่ามัดจำอยู่แล้ว ถ้าคนซื้อไม่รับของหรือไม่จ่ายเงิน มีแต่คนซื้อที่เสียกับเสีย ถ้าคุณมีความคิดแบบนี้ อยากให้คิดใหม่นะครับ
กรณีที่คุณไม่จ่ายปลายทาง ค่าส่งต้นทาง ร้านจำเป็นต้องจ่ายด้วยหรือ ทั้งที่เป็นความรับผิดชอบของคุณที่ของถึงแล้วไม่รับ และไหนจะค่ากล่อง ค่าเทป หรือค่าส่งกลับ ที่ร้านต้องเสียไป ทั้งที่ไม่ใช่เป็นผู้ผิดสัญญาการซื้อขาย
ค่ากล่อง 10 บาท ค่าเทป 2-3 บาท ค่ากันกระแทก 5 บาท ค่าน้ำมัน ค่าสึกหรอต่างๆ ค่าส่งอย่างน้อย 50-100 ไม่รวมค่าส่งตีกลับ หรือ ของเสียหายอีก
มาถึงตรงนี้แล้ว อาจจะทำให้หลายท่านเข้าใจร้านมากขึ้น หรือ ก็อาจไม่เข้าใจเลยก็มี เพียงเพราะต้องการแค่ “เก็บเงินปลายทางแบบไม่มีเงื่อนไข” และที่เขียนมาทั้งหมดนี้ก็แค่อยากทำความเข้าใจกับผู้ซื้อถึงการเก็บเงินปลายทางของทางร้านเช่นกัน
แต่เหนือกว่าการเขียนข้างต้นที่ต้องการสร้างความเข้าใจร่วมกัน คือ “ความมั่นใจในร้าน ว่าส่งของจริง ไม่โกงแน่นอน” และในส่วนนี้ผู้ซื้อจะมั่นใจได้อย่างไร อ่านต่อในบทความ เช็คเครดิตร้านอย่างไรได้บ้าง